‘กริลล์ชีสแซนวิช’ คือหนึ่งคอมฟอร์ทฟู้ดสุดฮิตของชนชาวอเมริกัน อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเมนูที่หาทานง่ายได้แทบทุกหัวถนน แต่ที่ร้านอาหาร All Square ในเมืองมินนีแอโพลิส รัฐมินนิโซตา ที่เพิ่งเปิดหน้าร้านเล็กๆ สีชมพูสดใสไปเมื่อไม่นานนี้ พวกเขามีเรื่องราวเบื้องหลังที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่าชีสเยิ้มๆ กับขนมปัง
ราวสองปีก่อนเอมิลี่ เทอร์เนอร์ (Emily Turner) หนึ่งในผู้ก่อตั้งธุรกิจ All Square ตัดสินใจลาออกจากงานประจำของเธอที่สำนักทนายความด้านการเคหะและการพัฒนาเมือง เพื่อมาเปิดร้านแซนวิชชีสย่างบนถนนสายหนึ่ง… หลายคนคิดว่าเธอต้องติสท์แตกเป็นแน่! แต่เปล่าเลย เอมิลี่มีเหตุผลที่ทำให้เธอหงุดหงิดใจกับอาชีพทนายของรัฐมานานแล้ว เพราะงานที่เธอทำเกี่ยวกับการจัดหาที่อยู่ให้อดีตนักโทษนั้น มันไม่ได้สร้างโซลูชั่นที่ยั่งยืนให้แก่ผู้ที่ ‘เคยพลาดพลั้ง’ ในชีวิตได้อย่างแท้จริง
แต่เธอเชื่อว่าโมเดลร้านแซนวิชชีสย่างแห่งนี้จะเป็นคำตอบ เพราะที่นี่พนักงานทุกคนต้องมีคุณสมบัติพิเศษอย่างน้อยหนึ่งในสองข้อ อันได้แก่
1) เคยมีประวัติอาชญกรรม หรือโดนตำรวจจับมาก่อน
2) เคยผ่านการชดใช้ความผิดในเรือนจำมาแล้ว
และนอกจากนั้น พนักงานจะต้องยินดีเข้าเรียนวิชา ‘กฎหมาย’ และ ‘การเป็นผู้ประกอบการ’ ในวันหยุดประจำสัปดาห์ของทางร้านด้วย (เรียนฟรี+มีค่าจ้างเข้าเรียน)
เอมิลี่บอกว่าเงื่อนไขสามข้อนี้ล่ะ ที่จะเป็นเครื่องมือในการต่อสู้บนเวทีใหม่ของเธอ!
ชื่อร้าน All Square: Gullt-Free Comfort Food นอกจากจะเป็นชื่อที่ล้อไปกับรูปทรงสี่เหลี่ยมของตัวแซนวิชแล้ว คำว่า All Square ยังมีความหมายโดยนัยว่า ‘เสมอกัน’ ‘หายกัน’ หรือ ‘เท่าเทียมกัน’ ในภาษาอังกฤษ เพราะเอมิลี่เองต้องการจะส่งสารบางอย่างไปสู่สังคมอเมริกันว่า “หลังจากที่นักโทษได้ชดใช้ความผิดตามกระบวนการยุติธรรมแล้ว พวกเขาย่อมมีสิทธิ์ที่จะใช้ชีวิตปกติได้เหมือนกับเราทุกคน”
ไม่ใช่เฉพาะแต่ในสังคมอเมริกันเท่านั้นที่มีความเหลื่อมล้ำด้านอาชีพ จริงๆ โลกเราก็ไม่ค่อยเปิดใจให้กับเพื่อนร่วมชาติที่เคยเป็นนักโทษกันเท่าไรนักหรอก การหางานสุจริตเป็นเรื่องยากแสนยากสำหรับพวกเขา การหาบ้านเช่าดีๆ ก็แทบเป็นไปไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงการขอเครดิตจากสถาบันการเงิน ฯลฯ เอมิลี่เองบอกว่าในงานเก่าของเธอนั้น เธอเคยพบเจ้าของบ้านรายหนึ่งที่ไล่คนเช่าออกอย่างไร้เหตุผล เพียงเพราะไปสืบทราบมาว่าผู้เช่าเคยอยู่คุกมาหลายสิบปี “ทั้งๆ ที่ตลอดเวลาการเช่าที่ผ่านมาผู้เช่ารายนั้นก็ชำระค่าเช่าครบถ้วนและตรงเวลามาตลอด…มันไม่แฟร์เอาเสียเลย”
เอมิลี่ยังบอกด้วยว่าเธอเห็นจุดอ่อนมากมายในระบบการทำงานของภาครัฐ และการที่สังคมมีอคติกับผู้มีประวัติอาชญากรรมเช่นนี้ สุดท้ายมันก็จะนำมาซึ่งปมปัญหาวนเวียนในสังคมไม่จบสิ้น
ปัจจุบันบอร์ดบริหารของธุรกิจ All Square ประกอบไปด้วยอดีตนักโทษ (ที่เข้าออกคุกมาแล้วหลายครั้ง), นักจัดการชุมชนที่เกิดในคุก (และเคยติดคุกเองด้วย), และนักธุรกิจฝีมือดีที่เคยถูกตัดสินจำคุกผิดพลาดมาก่อน ฯลฯ โดยพวกเขาเหล่านี้ได้ใช้เวลากว่าหนึ่งปีในการออกแบบโมเดลธุรกิจ และโปรแกรมการฝึกอาชีพที่ก้าวหน้าให้กับเหล่าอดีตนักโทษ (หรือคนที่เคยประวัติอาชญากรรมมาก่อน) ซึ่งพนักงานทุกคนของบริษัทนี้จะได้ทำงานจริงจังสัปดาห์ละ 30 ชั่วโมง (ด้วยเรทค่จ้างมาตรฐานที่ชั่วโมงละ 14 เหรียญ) และจะได้รับค่าจ้างเพิ่มอีก 10 ชั่วโมงฟรีๆ สำหรับการเข้าเรียนในคลาสพิเศษของบริษัทด้วย
“ที่ผ่านมาถ้ารวมเงินทิปจากลูกค้าด้วยแล้ว พนักงานของเราจะได้ค่าจ้างเฉลี่ยราว 22 เหรียญต่อชั่วโมง ซึ่งถือเป็นรายได้ที่เพียงพอสำหรับการเริ่มต้นชีวิตได้จริง” เอมิลี่กล่าว
“ที่สำคัญเราไมได้อยากให้พวกเขาแค่เอาตัวรอดไปวันๆ หรือให้พอใจกับการรับค่าจ้างรายวันไปตลอดชีวิต แต่เราอยากเห็นความก้าวหน้าของคนที่มีความฝัน” นั่นคือนอกจากพวกเขาจะดูแลตัวเองได้ หรือมีสุขภาพกายใจที่แข็งแรงแล้ว เอมิลี่คิดว่าพวกเขาน่าจะมีโอกาสสร้างธุรกิจของตัวเองให้เป็นจริงในอนาคต
เป้าหมาย ‘ขั้นกว่า’ นี้ผลักดันให้ All Square ปั้นหลักสูตรผู้ประกอบการธุรกิจขึ้นอย่างจริงจัง บนความร่วมมือกับเหล่าครูอาจารย์รับเชิญหลากหลายสาขา ซึ่งพนักงานทุกคนจะได้นำประสบการณ์ตรงจากการทำงานที่ร้าน และนำโจทย์ธุรกิจที่เผชิญในชีวิตจริงมาใช้ประกอบการเรียนด้วย “All Sqaure ไม่ใช่โปรเจ็กต์การกุศลที่เราจ้างอดีตคนคุกเพราะความสงสาร แต่มันคือเครื่องมือที่จะแก้ปัญหาความไม่ยุติธรรมในโครงสร้างสังคมของเรา” เอมิลี่กล่าวปิดท้ายด้วยความเชื่อมั่น
…คงต้องรอดูกันต่อไปว่าพนักงานกลุ่มแรก/นักเรียนคลาสแรกของร้านแซนวิชชีสเยิ้มนี้จะเติบโตกันต่อไปยังไง บางคนอาจจะก้าวขึ้นไปในตำแหน่งบริหาร? ค่อยๆ ไต่เต้าไปในสายงานที่ชอบ? หรือบางคนอาจจะขอซื้อแฟรนไชส์ไปเปิดเองในอนาคต? เราได้แต่แอบภาวนาขอให้โมเดลนี้ประสบความสำเร็จยาวๆ ไกลๆ เพราะมันน่าจะเป็นกรณีศึกษาที่ดีให้กับอีกหลายๆ ปัญหาสังคมเลยล่ะ
อ้างอิง: allsquarempls.com