‘อนุกูล ทรายเพชร’ กับธุรกิจเพื่อสังคม Folkrice แอพฯ ซื้อขายผลิตภัณฑ์อินทรีย์กับเกษตรกรโดยตรง

อนุกูล ทรายเพชร เริ่มต้นธุรกิจเพื่อสังคมของตัวเองในนาม Folkrice Ltd. ขึ้น เมื่อ 4 ปีก่อน โดยมีเป้าหมายคือการกระชับระยะห่างระหว่างเกษตรกรและประชาชน ผ่านแอพพลิเคชั่นที่ทำหน้าที่เป็นตลาดซื้อขายออนไลน์อันปราศจากพ่อค้าคนกลาง จนถึงปัจจุบัน เขาขยายขอบข่ายของสินค้าจากข้าวพื้นเมือง ไปสู่พืชพันธ์ชนิดต่างๆ เครื่องปรุงปลอดสารเคมี งานหัตถกรรมท้องถิ่น และจากผู้ผลิตเพียงไม่กี่รายในยุคเริ่มต้น ณ ตอนนี้ Folkrice Ltd. มีเครือข่ายเกษตรกรกว่าร้อยราย อีกทั้งยังทำงานร่วมกับองค์กรต้นน้ำในการพัฒนาเกษตรกรและผลิตภัณฑ์อินทรีย์ บทสนทนาต่อจากนี้ ไม่เพียงจะถ่ายทอดแก่นทางความคิดของธุรกิจเพื่อสังคมแห่งนี้ แต่รวมไปถึงแรงบันดาลและความมุ่งมั่นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมแบบองค์รวม โดยมีปลายทางคือสุขภาพที่ดี เศรษฐกิจที่มั่นคง และการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพด้วยเช่นกัน

Q: อะไรคือแรงผลักดันให้คุณทำแอพพลิเคชั่น Folkrice Mobile App.?

A: หลังจากเรียนจบคณะสหวิทยาการสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง ผมก็ทำงานอาสาสมัครมาโดยตลอดประมาณ 2 ปี จนกลับไปอยู่บ้านที่สุรินทร์ ช่วงนี่แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นของการคิดและรวบรวมขีดความสามารถของตัวเองว่าเราโตมากับอะไร อะไรคือจุดแข็งของเรา เราทำอะไรได้และไม่ได้บ้าง สิ่งที่พบคืออย่างแรก ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด โตมากับการเกษตร มีความสนใจเรื่องสุขภาพเพราะเคยประสบอุบัติเหตุตอน 8 ขวบ ทำให้ตาบอดไปข้างหนึ่ง ทำให้รู้สึกว่าสุขภาพสำคัญ ยิ่งได้มาเรียนคณะที่ใช้ความคิดแบบองค์รวมก็ยิ่งเปิดโลกทัศน์และเชื่อมโยงมุมมองที่หลายเข้าด้วยกัน มองเห็นว่าปัญหาใดปัญหาหนึ่งหรือความสำเร็จหนึ่งๆ ไม่ได้เกิดจากปัจจัยแค่ปัจจัยเดียว เลยทำให้เราเริ่มคิดว่าการพัฒนาชุมชนก็เหมือนกัน จากตรงนั้น ผมได้ข้อสรุปคือ ผมอยากทำธุรกิจที่จะช่วยพัฒนาสังคม ผมสนใจเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม การเกษตร อาหาร และสุขภาพ ทุกอย่างนี้เลยถูกประมวลจนกลายเป็น Folkrice LTD. กิจการเพื่อสังคม



Q: Folkrice Mobile App. เกิดขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาอะไร?

A: ผมพัฒนาแอพพลิเคชั่นนี้เพื่อแก้ปัญหาเรื่องพ่อค้าคนกลาง เพราะเกษตรกรส่วนใหญ่มักจะคิดแค่ว่าถ้าขายพ่อค้าคนกลางเราต้องขายให้ได้ราคามากที่สุด แต่ในตลาดการค้า พ่อค้าคนกลางไม่ได้มีคนเดียว เพราะฉะนั้นกว่าสินค้าจะถึงมือผู้บริโภค ราคาก็แพงกว่าต้นทุนไปหลายเท่าตัวแล้ว แอพพลิเคชั่นนี้จึงจะเข้ามาทำหน้าที่เชื่อมโยงผู้ผลิตกับผู้บริโภคให้ใกล้กันมากขึ้น ลดทอนระยะห่างระหว่างคนสองฝั่ง เพื่อให้รายได้ที่แต่เดิมเคยอยู่ในมือคนกลาง กลับไปสู่ผู้ผลิตโดยตรง ขณะที่ผู้บริโภคเองก็มีโอกาสที่จะได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในราคาที่เป็นธรรมด้วย

Folkrice Ltd. ไม่ใช่บริษัทที่ตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะทำธุรกิจแบบหากำไรไปเรื่อยๆ แต่เป็นธุรกิจที่เกิดมาจากลูกหลานชาวนาที่รวมตัวกัน แล้วสร้างเทคโนโลยีที่จะนำไปสู่การสร้างช่องทางการตลาดขึ้นด้วยตัวเอง ขายสินค้าที่มีเรื่องราวของผู้ผลิต ดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ฟื้นฟูชุมชน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบท้องถิ่นให้เกิดขึ้นจริง

Q: ถ้าอย่างนั้น Folkrice Mobile App. ก็เป็นการสร้างทางเลือกใหม่ๆ ให้กับเกษตรกรและผู้บริโภค?

A: ใช่ครับ เพราะว่าผู้บริโภคเองต้องการความสะดวก และบางท่านไม่สามารถไปช็อปปิ้งตามห้างสรรพสินค้าเพราะไม่มีเวลา รวมถึงสินค้าที่เป็นสินค้าอินทรีย์ก็ไม่ได้หาซื้อได้แบบทุกปากซอย เพราะฉะนั้นการเข้าถึงแบบออนไลน์และส่งตรงถึงหน้าบ้านจึงตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ไม่มีเวลาและต้องการความสะดวก เราก็เลยลุกขึ้นมาโดยไม่ใช่เป็นเพียงทางเลือกแต่คือ solution ในการเข้าถึงอาหารเพื่อสุขภาพเหล่านี้


Q: สำหรับการเลือกเกษตรกรหรือว่าผู้ผลิต Folkrice Mobile App. มีเกณฑ์อย่างไร?

A: มี 2 แบบ ตอนนี้เรากำลังคุยกับพาร์ทเนอร์ที่เป็นองค์กรต้นน้ำในการพัฒนาเกษตรกรและผลิตภัณฑ์ และเกษตรกรก็จะถูกพัฒนามาจากหลายๆ พาร์ทเนอร์นี้ โดยเกณฑ์หลักคือสินค้าในแพลทฟอร์มของเราจะต้อง holistic คือดีแบบองค์รวม ดีต่อคน ดีต่อธรรมชาติ ดีต่อชุมชนตัวเอง เพราะท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างจะกระทบกันหมด ไม่ใช่แค่โอเคสินค้าดีนะ หรือแค่มีสตอรี่ดูแลชุมชน แต่ต้องเป็นสินค้าที่รับผิดชอบสังคมได้ไปไกล ไกลกว่าค่าตัวผู้ผลิต ซึ่งนั่นจะทำให้ผู้บริโภคปลอดภัยและจะนำไปสู่การขับเคลื่อนประเทศนี้ด้วย

Q: ช่วยยกตัวอย่างผู้ผลิตที่ทำให้เราเห็นภาพชัดขึ้นได้ไหม?

A: สำหรับสินค้าที่เลือกขึ้นมาก็อย่างเช่น แบรนด์ ‘กินเปลี่ยนโลก’ (www.food4change.in.th) ซึ่งแบรนด์นี้พยายามสื่อสารที่ให้คนเห็นความสำคัญในเรื่องเครื่องปรุงที่ปลอดภัยเมื่อเทียบกับเครื่องปรุงตามท้องตลาด ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของเขาจะถูกผลิตมาจากชุมชนที่ไม่ใช้สารเคมีในกระบวนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลหรือน้ำตาลอ้อยที่มาจากการปลูกอ้อยออร์แกนิก แล้วเอามาเคี่ยวจนเกิดน้ำตาล เกลือที่มาจากแหล่งเกลือซึ่งไม่ใช้สารฟอกขาว โดยเกลือจะมีรสออกหวาน หรือหมูในจังหวัดน่านที่เรากำลังพัฒนาแบรนด์ร่วมกับเกษตรกรรุ่นไหม โดยชักชวนเขาให้หันมาเลี้ยงหมู ทดแทนการปลูกข้าวโพดที่ต้องทำลายป่า เพราะการเลี้ยงหมู มีข้อดีอย่างแรกคือรายได้ที่ดีกว่า สองคือไม่ต้องใช้พื้นที่มาก ไม่ต้องทำลายป่า เป็นหมูที่เลี้ยงแบบปล่อย ซึ่งทำให้หมูที่เลี้ยงได้ออกกำลังกาย ไม่เครียด และได้กินอาหารที่ดี โดยจะมีการกระจายรายได้ไปในครอบครัวต่างๆ ได้ด้วย เช่น ใครอยากเลี้ยงก็เลี้ยงคนละเล้า 2 เล้า ก็สามารถทำได้

Q: นอกจากการพัฒนาทางฝั่งผู้ผลิตแล้ว ในด้านของผู้บริโภค Folkrice Ltd. ได้สร้างช่องทางในการเข้าถึงข้อมูลเช่น การให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ปลอดสารเคมี หรือเพราะอะไรราคาจึงสูงกว่าท้องตลาด บ้างไหม?

A: แน่นอนว่าผู้บริโภคต้องการของดีราคาถูก แต่ถ้าคุณไม่เริ่ม ให้เกษตรกรเริ่มอยู่ฝ่ายเดียว เราก็จะไม่เจอคำว่าพอดีทางการตลาด ถ้าถามว่า เมื่อไหร่ของออร์แกนิกจะมีราคาถูกลง สิ่งที่ทำได้ก็คือเราต้องหันมาซื้อกันให้มากขึ้น แล้วระบบการจัดการก็จะทำให้คุณได้ราคาถูกลง เพราะทุกวันนี้คนในสังคมไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์นะที่บริโภคอาหารออร์แกนิก ความต้องการน้อยมาก ถามว่าทำไมความต้องการน้อย ผมเห็นข้อจำกัด 2-3 อย่าง อย่างแรก อาจจะเป็นเรื่องรายได้ แล้ว priority ของอาหารออร์แกนิกอยู่หลังๆ ของฟุ่มเฟือยต่างๆ ซึ่งเราเข้าใจว่าพวกคุณไม่เคยคุยเรื่องนี้กันในสังคม สองผู้บริโภคมีช่องทางที่จะเข้าถึงน้อยในเมืองใหญ่ๆ ถ้าไม่ใช่ในกรุงเทพฯ ก็แทบจะไม่มีช่องทางเข้าสู่อาหารออร์แกนิกหรือว่าอาหารที่ปลอดสารเคมี มันไม่ได้ถูกแยกออกจากอาหารชนิดอื่น

เพราะฉะนั้น ทางแก้ในในขั้เริ่มต้นที่จะทำให้ผู้บริโภคมีความเข้าใจและเข้าถึงข้อมูลที่ประโยชน์กับตัวเองได้ ผมคิดว่าผู้บริโภคน่าจะต้องลุกขึ้นมาคุยกันก่อน และให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากๆ ตั้งคำถามว่าอะไรที่ดีสำหรับคุณ อย่าให้โฆษณามาบอกว่าอะไรดีกว่า ต้องคุยกันให้เข้าใจก่อนว่าที่มาของอาหารว่าแบบไหนที่ดีและไม่ดี อาหารออร์แกนิกคืออะไร หรือปลอดสารพิษ ปลอดสารเคมีเป็นอย่างไร สินค้านี้สนับสนุนชุมชนแบบไหน ไปสร้างฐานทรัพยากรอย่างไร ผมอยากให้ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้มากๆ ซึ่งการตัดสินใจของผู้บริโภค จำนวนเป็นล้านคนมีผลต่อการพัฒนาเกษตรกรรมในชนบททั้งสิ้น ขณะเดียวกัน การที่ผมชวนให้หันสร้างความสัมพันธ์กับสิ่งเหล่านี้ เรื่องที่มาที่ไปของอาหารก็เพราะว่าท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างจะกลับมาซัพพอร์ตชีวิตคุณ บริษัทที่คุณทำงานอยู่นั่นแหละ ถ้าทุกคนดูแลประเทศด้วยกัน ช่วยกันซัพพอร์ตกันจนกว่าเขาจะโต วันหนึ่งเราจะไปสู่จุดคุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจ ซึ่งผมคาดหวังว่าสังคมจะเติบโตในทิศทางนี้ด้วย


Q: ตอนนี้มีผู้ผลิตที่เข้าร่วมใน Folkrice Mobile App. เท่าไหร่?

A: ตอนนี้มีประมาณ 5 องค์กรเครือข่ายพัฒนาเกษตกรที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานร่วมกัน ส่วนในเครือข่าย Folkrice ก็มีผู้ผลิตประมาณ 100 ราย ที่เป็นเกษตรกรรุ่นใหม่

Q: นอกเหนือไปจากข้าวพื้นเมืองแล้ว มีสินค้าอย่างอื่นอีกบ้างไหม?

A: นอกจากข้าวพื้นเมือง ก็จะมีเครื่องปรุง เมล็ดพันธุ์ ผักผลไม้ พืชตระกูลหัวต่างๆ เช่น กระเทียม หอมแดง ตอนนี้กำลังเพิ่มหมวดแฟชั่น ซึ่งเราเรียกว่า Folk Fashion เช่น ผ้าพื้นเมืองที่เราชวนดีไซเนอร์ลงไปช่วยในเรื่องการออกแบบ โดยมีผ้าพื้นเมืองเป็นวัตถุดิบในการตัดเย็บ รวมถึงมีแบรนด์ท้องถิ่นที่จะทำเสื้อผ้า Folk Fashion

Q: แบบนี้ Folkrice Ltd. ดำเนินธุรกิจโดยใช้เงินทุนจากไหน?

A: ผมโตมาจากธุรกิจซื้อมาขายไป เพราะฉะนั้นในการขายของ เมื่อได้กำไรก็เอามาพัฒนา สองผมรับดูแลระบบไอทีซัพพอร์ตให้กับบริษัทต่างๆ ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่ทำงานด้านเกษตร

Q: ถ้านับตั้งแต่การเริ่มต้น ก็ 4 ปีแล้วที่ Folkrice Ltd. ก่อตั้งขึ้น ตอนนี้มีผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้นขนาดไหน และมีคนกลุ่มไหนบ้าง?

A: มีเยอะพอสมควรเลย ทั้งผู้บริโภครายบุคคล และตอนนี้มีร้านอาหารในเมืองใหญ่ๆ สนใจอยากเปลี่ยนมาใช้สินค้าออร์แกนิกมากขึ้น โดยเชฟของร้านก็จะเข้ามาปรึกษา ทางเราก็ให้สตอรี่ไปทุกๆ สินค้าเพื่อสร้างความเข้าใจในของแต่ละผลิตภัณฑ์

Q: สิ่งที่เรียนรู้จากการทำ Folkrice Ltd.?

A: สิ่งที่พบก็คือเมื่อเราทำธุรกิจ เราจะต้องผ่านภาวะการเอาตัวรอด จนบางทีกลายเป็นหลงลืมสิ่งดีๆ ที่เป็นแก่นในยุคเริ่มต้น เริ่มหลงประเด็น การที่ผมยืนอยู่ตรงนี้มา 4 ปี ผมได้ข้ามจุดที่เรียกว่าชนะใจตัวเองไปแล้ว สิ่งที่เรียนรู้คือชัยชนะระดับตัวเอง ผมยังไม่ชนะใครหรอก แต่ว่าไม่เคยแพ้นายทุน ผมมองว่าวันหนึ่ง ถ้าสังคมมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่ผมมองเห็น ก็เป็นเรื่องที่ท้าทายผมไม่เบานะ (ยิ้ม)

Q: ใครเป็นผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิดและทัศนคติคุณบ้าง?

A: ทุกๆ คนที่เข้ามาในชีวิตผม คนที่มาสอนและให้บทเรียนในแต่ละช่วงวัย ประสบการณ์ชีวิตในหลากหลายจุดซึ่งในประสบการณ์นั้นๆ ก็จะมีคนที่เป็นต้นแบบอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคุณลุงในตอนเด็กที่ทำให้เรารู้จักกับเรื่องการเกษตร คุณแม่ที่เป็นทั้งโค้ชและหมอดู (หัวเราะ) เหมือนรู้ทุกอย่างว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตบ้าง คุณครูประถม หรือแม้กระทั่งคุณตาของผมเองที่มีบทบาทและเป็นต้นแบบในฐานะลูกชาวบ้านที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ท่านเป็นทั้งนักดาราศาสตร์และนักประดิษฐ์ ทุกคนเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมมาทำ Folkrice Ltd. ผมผ่านชุดประสบการณ์และความเจ็บปวดมาไม่น้อย เห็นความเจ็บปวดนั้นมาตั้งแต่เด็ก แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้คือทุกคนที่อยู่ในชีวิต พวกเขาไม่ได้คิดเพื่อตัวเองคนเดียว
แต่คิดเพื่อคนอื่น เพื่อสังคม เพื่อโลก

Q: มองอนาคตของ Folkrice Ltd. ไว้อย่างไร?

A: ในระยะสั้นคือการพัฒนาแอพพลิเคชั่นและระบบให้แก่เกษตรกรได้ใช้ พยายามทำให้ดี ใช้ง่าย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการทำหน้าที่กระจายสินค้าให้กับผู้บริโภคในเมืองใหญ่ๆ โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ให้ได้ทานกันก่อนและชักชวนให้หันมากินของเหล่านี้เยอะขึ้น

ส่วนในระยะยาวมากๆ เราอยากสร้าง Food Security Eco System โดยพยายามลงทุนเพื่อที่จะตอบสนองลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้าที่ดี และต้องการสนับสนุนสังคมให้ดีขึ้น ซึ่งสังคมในความหมายของผมรวมไปถึงสิ่งแวดล้อม ท้องถิ่น ทรัพยากร และพืชพันธุ์ที่กำลังจะสูญพันธุ์ นี่คือสิ่งที่ Folkrice Ltd. จะทำ



ภาพ: Maneenoot Boonrueang, Folkrice.com
อ้างอิง: Folkrice.com

สุดาพร จิรานุกรสกุล

อดีตบรรณาธิการบทความนิตยสาร art4d magazine ปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระให้กับนิตยสารออนไลน์ด้านสถาปัตยกรรม ออกแบบ ศิลปะ สังคม และสุขภาพ ควบคู่ไปกับการสอนโยคะ พิลาทิส และติ๊กตอกเกอร์ดาวรุ่ง

See all articles