The North Face เป็นแบรนด์เสื้อผ้าและอุปกรณ์สำหรับสายเอาท์ดอร์ยี่ห้อดังจากอเมริกา ที่มุ่งเน้นให้ผู้สวมใส่ออกสำรวจโลกและปกป้องสิ่งแวดล้อม โดยผลิตเสื้อผ้าที่มีอายุการใช้งานยาวนานจากวัสดุรีไซเคิล
ซึ่งนักเดินทางผู้สวมใส่ The North Face ได้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ในโลกที่หลายคนฝ่าไปไม่ถึง และเห็นผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ธารน้ำแข็งกำลังละลาย ฤดูหนาวสำหรับเล่นสกีก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น พายุ ไฟไหม้ และน้ำท่วมเกิดขึ้นบ่อยขึ้น และแต่ละครรั้งก็รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หากมนุษย์ไม่หยุดอุตสาหกรรมฟาสต์แฟชั่นและไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค เราจะพบกับปัญหาที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นในอนาคตชนิดเรียกได้ว่า โลกนี้อยู่ยาก หรืออาจจะอยู่ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!
เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงภาวะโลกรวนที่ใกล้ตัวมากขึ้นเรื่อยๆ The North Face ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เช่น ปรากฏการณ์ของเรือนกระจกในอดีต การฉายภาพอุณหภูมิของโลก และการใช้ปัญญาประดิษฐ์สร้างแฟชั่นเอาท์ดอร์แนวทางใหม่ เพื่อการอยู่รอดบนดาวเคราะห์โลก(รวน)ในแบบที่รอเราอยู่ โดยการตั้งสมมุติฐานว่า “หากเกิดโลกรวนจริงๆ เราต้องใส่เสื้อผ้าแบบไหนกันนะ ถึงจะมีชีวิตอยู่รอดได้”
โดยนักออกแบบแฟชั่นและวิศวกรของ The North Face ได้ใช้ข้อมูลอุณหภูทิเฉลี่ยสูงสุดในช่วงฤดูร้อนและต่ำสุดในฤดูหนาวจาก 1,000 เมืองทั่วโลก ตั้งแต่ปี 1986-2015 เพื่อคาดคะเนอุณหภูมิที่จะเปลี่ยนแปลงของโลกในช่วงปี 2036-2065 ซึ่งคาดว่า อุณหภูมิจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงปี 2000- 2050 ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้คนและระบบนิเวศ ธารน้ำแข็งที่กำลังละลาย น้ำแข็งขั้วโลกสลาย ชั้นดินเยือกแข็ง (Permafrost) ที่อุ่นขึ้น ปะการังที่กำลังตาย ระดับน้ำทะเลที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น และคลื่นความร้อนที่ทำให้ถึงแก่ความตายได้
The North Face จึงขอเสนอ The North Face Global Warming Series แฟชั่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่จะปกป้องเราในสภาพอากาศสุดขั้วที่แตกต่างกันอย่างความร้อนจัด ความเย็นจัด และน้ำท่วม ประกอบด้วย 5 ชุดสุดปัง!
Winter Metamorphic Suit: เป็นชุดเสื้อผ้าที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิต่ำมาก โดยมีรูปร่างที่คล้ายกับแมลงลอกคราบ ใช้เทคโนโลยีนาโนและเซนเซอร์เพื่อตรวจจับอุณหภูมิ หากอุณหภูมิต่ำกว่า 76 องศาฟาเรนไฮต์ เสื้อผ้าจะพองขึ้นเพื่อรักษาอุณหภูมิภายในให้คงที่
Cape With Smart Texture: เสื้อคลุมที่มีส่วนผสมของเนื้อผ้าอัจฉริยะสามารถปรับตัวให้เหมาะสมกับอุณหภูมิสูงสุดที่ 58 องศาเซลเซียส มาพร้อมหน้ากากอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยกรองอากาศที่อาจเต็มไปด้วยฝุ่นและมลพิษ
Below Zero Suit: ชุดสุดล้ำที่ออกแบบให้ใช้ในสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิต่ำถึง -60 องศาเซลเซียส มีโครงสร้างที่เรียกว่า Polygonal Structure ที่ช่วยรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ และมีกระเป๋าสะพายหลังที่ใช้แบตเตอรี่พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อให้ชุดเสื้อผ้าสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องในสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิต่ำ
Burning Bubbles Garments: เสื้อผ้าชุดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิสูงถึง 58 องศาเซลเซียส มีระบบระบายอากาศที่ช่วยกรองและทำความสะอาดอากาศที่เข้าสู่ภายในเสื้อผ้า เพื่อให้ได้รับอากาศที่บริสุทธิ์เพื่อความอยู่รอด
Blowing-Up Quilted Suit: รับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมหรือสึนามิได้อย่างไม่หวั่น เพราะมีระบบ GPS ที่ช่วยในการติดตามตำแหน่งและช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน เปลี่ยนเป็นเรือชูชีพเมื่อเกิดสึนามิ ให้ผู้ใช้สามารถรอดชีวิตและได้รับความช่วยเหลือในเวลาที่เกิดภัยพิบัติ
The North Face ได้นำเสื้อผ้ารุ่นใหม่ทั้งหมดนี้จำหน่ายในรูปแบบสินทรัพย์ดิจิตอล NFTs ( (Non-fungible Tokens) )โดยทุกการขายจะมีการระดมทุนและบริจาคให้กับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Pro Natura Mexico ซึ่งเป็นองค์กรที่มุ่งมั่นในการอนุรักษ์และป้องกันภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมในเม็กซิโก
The North Face มุ่งมั่นที่จะลดคาร์บอนฟุตปริ้นท์ ตั้งแต่การติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ที่โรงงาน ไปจนถึงแนวทางปฏิบัติในการประหยัดพลังงานในโรงงานสิ่งทอ การใช้วัสดุรีไซเคิล และนอกเหนือจากการสร้างแคมเปญรณรงค์ภาวะโลกรวนอย่างสร้างสรรค์ไม่ซ้ำใครแล้ว The North Face ก็ยังมองหาวิธีลดผลกระทบต่อโลกอย่างต่อเนื่อง
แฟชั่น กับ สิ่งแวดล้อม ไม่ได้เป็นเรื่องที่แยกจากกัน หากแบรนด์แฟชั่นต่างๆ มุ่งเน้นสร้างแฟชั่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน ริเริ่มจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ไม่เพียงแต่ดีต่อโลกเท่านั้น แต่ยังดีต่อแบรนด์ด้วย
อ้างอิง: WundermanThompson, AdsofTheWorld
