Kiss the Ground: สารคดีแห่งความหวังในการฟื้นฟูโลกให้กลับคืนสู่สมดุล

ท่ามกลางสภาวะโลกร้อนและความแปรปรวนของภูมิอากาศ ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรง หลายฝ่ายยอมรับกันถึงสาเหตุที่มาของปัญหาดังกล่าว ทั้งๆ ที่ต่างคนก็ก็รับรู้แต่ก็ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน หลายคนคงจะท้อคิดว่านี่คงหมดหนทางแล้วที่จะเอาชนะปัญหาซับซ้อนยากต่อการเยียวยา แต่ว่าความคิดนี้อาจยังไม่ใช่ข้อสรุปที่ต้องยอมรับอย่างเบ็ดเสร็จ ในเมื่อโลกยังมีทางเลือกอื่นอยู่ อาจเป็นแสงสว่างเพียงเล็กน้อยที่ปลายอุโมงค์ สารคดี Kiss the Ground เป็นหนึ่งแนวคิดที่กำลังส่งสารความหวังนั้น โดยพยายามกระตุ้นสังคมให้ช่วยกันลงมือกระทำสร้างโลกให้กลับคืนสู่สมดุล เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของลูกหลาน นี่ไม่ใช่เรื่องโยนบาปไปที่ใครแต่เป็นเรื่องเล่าที่เกิดจากความรักที่มีต่อโลก

เมื่อพิจารณาให้จริงจังแล้วก็พบช่องว่างสำคัญของปัญหา นั่นก็คือความเข้าใจเกี่ยวกับคาร์บอนและการปล่อยคาร์บอนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศที่เป็นต้นตอของก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มอุณหภูมิให้โลก เราเชื่อกันว่าคาร์บอนเป็นผู้ร้าย ทั้งๆ ที่จริงแล้วโลกเราต่างหากที่ขาดคาร์บอนไม่ได้ แถมยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของเกือบทุกชีวิต แม้ในร่างกายของคนเราก็ประกอบด้วยคาร์บอนเช่นกัน หนังให้ข้อมูลหลายด้านเพื่อชี้ให้รู้ว่า สังคมไม่เคยเข้าใจวงจรการหมุนเวียนของคาร์บอนอย่างแท้จริง ซึ่งนี่เป็นการเปิดประเด็นให้ฉุกคิด คาร์บอนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพืชและมีส่วนผลักดันให้เกิดการคลายออกซิเจน ทว่าพืชพันธุ์จะทำเช่นนั้นไม่ได้เลยหากขาดดินที่ดี เพราะดินมีคุณภาพนั่นเองที่ทำหน้าที่กักคาร์บอนไว้เป็นพลังงานของพืช ช่วยกันไม่ให้คาร์บอนลอยกลับสู่ชั้นบรรยากาศ และช่วยให้ผืนแผ่นดินคลายความชื้น ปรับฤดูกาลสร้างสมดุลให้ระบบนิเวศ และดินอาจเป็นพระเอกออกของการแก้ปัญหานี้

แม้คำตอบอาจอยู่ที่ผืนดินที่เราเหยียบยืน ทว่าน่าเสียดายที่หน้าดินอันเหมาะสมสำหรับการเกษตรแบบเป็นมิตรต่อทุกชีวิต ถูกทำให้เสียสภาพเหมาะสมของเขาไปเพราะระบบเกษตรกรรมแบบใหม่ และเราต้องเปลี่ยนแปลงด้วยการเพาะปลูกที่ถูกต้อง เลิกการใช้สารเคมีจำกัดศัตรูพืช การเลี้ยงสัตว์ในระบบฟาร์มขนาดใหญ่ที่ผิดธรรมชาติ ระบบการเมืองโลกที่ขาดความจริงใจในการแก้ปัญหา และทั้งหมดที่เป็นอุปสรรคไม่ให้เราปรับเปลี่ยนโลกไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้นได้

ในขณะที่ทุกชีวิตแยกจากกันไม่ออก และเป็นเงาสะท้อนคุณภาพชีวิตซึ่งกันและกัน หากเรามีพืชที่เต็มไปด้วยสารพิษ สัตว์เลี้ยงเพื่อการปศุสัตว์ที่ตัดแต่งพันธุกรรม คุณภาพชีวิตของมนุษย์ก็ไม่มีวันดีขึ้นมาได้ และรวมถึงปัญหาโลกร้อนก็จะไปสู่ทางตัน ไม่เพียงแค่การไม่เข้าใจในคุณภาพของดินส่งผลต่อโลกอย่างไรเท่านั้น ในตอนท้ายของสารคดีได้นำเสนอทางแก้และตัวอย่างของหลายพื้นที่ซึ่งประสบความสำเร็จในการพลิกฟื้นผืนดินจากสภาพทะเลทรายให้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง แม้จะใช้เวลาบ้างแต่ก็พิสูจน์ว่าโลกจะกลับมาสุขภาพดีได้ถ้าทุกคนร่วมมือกันจริง นี่เป็นเรื่องเล่าเสริมสร้างกำลังใจท่ามกลางอุปสรรคที่ต่างก็รับรู้ว่าไม่ง่ายเลยสำหรับการแก้ไข

Kiss the Ground กำกับฯ และอำนวยการสร้างโดย Josh และ Rebecca Tickell ทั้งคู่เป็นนักต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม เป็นทั้งนักเขียนและนักทำหนังที่เสนอประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมมาหลายเรื่องซึ่งในเรื่อง The Big Fix (2011) หนังของทั้งคู่ได้รับเลือกเข้าฉายในเทศกาลหนังเมืองคานส์ Official Selection ด้วย

Woody Harrelson นักแสดงและนักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมมารับหน้าที่บรรยายเรื่องราวใน Kiss the Ground ได้อย่างเรียบง่าย เปี่ยมพลังแห่งความหวัง และนอกจากนั้นยังได้นำเสนอมุมมองของนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ เช่น   Ray Archuleta นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านดินผู้มีประสบการณ์เรื่องดินในสหรัฐอเมริกามากว่า 30 ปี, John Wick ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบัน Marin Carbon Project ซึ่งมีวัตถุประสงค์จะลดการปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศโลก, Dr. Kristine Nichols นักจุลวิทยาทางดิน และคนอื่นๆ อีกมาก ดูเหมือนจะมีทางเลือกไม่มากนักระหว่างเปลี่ยนโลกกันเดี๋ยวนี้ ปรับพฤติกรรมในทุกด้าน เช่น การผลิตสินค้าเกินจำเป็น ระบบธุรกิจ อุตสาหกรรมการเกษตรที่เร่งเพื่อเพิ่มการบริโภคของผู้คน หรือจะรอให้ธรรมชาติเสื่อมลงจนเกินเยียวยา ซึ่งหากถึงตอนนั้นก็เดาไม่ออกว่าชีวิตบนโลกจะเผชิญกับภัยพิบัติอย่างไรบ้าง แล้วถึงเวลานั้นเราจะยังสามารถกู้ระบบนิเวศให้กลับคืนมาได้อีกไหม

อ้างอิง: kissthegroundmovie.com, www.netflix.com

วรัญญู อุดมกาญจนานนท์

Art may not be the only way to brighten the world, but it is essential to create a beautiful life. รักงานสร้างสรรค์อิสระ...งานเขียนเป็นหนึ่งในนั้น เพราะตัวหนังสือคือความคิดที่เชื่อมโลกกับเราไว้ด้วยกัน

See all articles

Next Read

FLOODED : เมนูสุดแนวรอวันน้ำท่วมโลก

Jonah : โลกในฝันอาจไม่สวยอย่างที่คิด